การเป็นฟรีแลนซ์ในมุมมองแบบแง่ดีก็คือ ชีวิตอันอิสระที่จะทำงานตอนไหน จะตื่นเมื่อไหร่ จะไปที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เหมือนได้เป็นนายตัวเองอย่างที่ใครๆชอบพูดกัน ไหนจะเรื่องผลตอบแทนที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกหละ ทำมากได้มากได้ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมากินแรงเรา เห็นแล้วใช่มั้ยว่าชีวิตดี๊ดีย์ขนาดไหน
แล้วลองหันมามองมุมที่โหดร้ายบ้างล่ะ ไหนจะความเหงาที่เข้ามาเกาะกินหัวใจ ทำงานคนเดียว กินข้าวคนเดียว ( ใครมีแฟนข้ามข้อนี้ไป ) ดูหนังคนเดียว แล้วไหนจะเรื่องติดต่อประสานงานลูกค้า ต้องคุยเอง คิดราคาเอง รับบรีฟเอง ทำงานเอง ทวงตังค์เองอีกเอ้า! วุ่นวายกันไปอีก แล้วเวลางานโหลดหละต้องทำยังใง งานไม่จบ เก็บเงินไม่ได้ หมุนเงินไม่ทัน? จะครียดแค่ไหน นี่ยังไม่นับตอนที่อิสระมากจนขี้เกียจ ไม่ทำงานก็ไม่ได้เงินอีกนะเนี่ย…
ชีวิตจริงคือไม่ได้มี Freelance คนไหนเจอแต่เรื่องดีหรือแย่ เพราะยังใงก็ต้องเผชิญกับชีวิตสองด้านนี้อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งชั่งน้ำหนักหรือตัดสินว่าเป็นหรือไม่เป็นดีกว่า สิ่งที่ดีที่สุดก็คือมาหาทางออกที่ทำให้สิ่งต่างๆมันราบรื่นสำหรับการเป็นฟรีแลนซ์เท่ๆกันเถอะ พอดีผมไปเจอบทความของ creative market ว่าด้วยเรื่อง ความผิดพลาดของ Freelance 8 ประการ เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยแปลมาให้ทุกคนอ่านกัน พร้อมสอดแทรกแนวคิดวิธีการจัดการปัญหาเหล่านั้น จากประสบการณ์ส่วนตัวและข้อแนะนำจากบล็อกเอง ที่น่าจะช่วยให้การเป็น Freelance เท่ๆนั้น..เท่ได้เรื่อยๆ ไปอีกนาน
1. ตั้งราคาอย่าให้ถูกเกิน
หากคุณเคยทำงานเสร็จแล้วกลับมานั่งคิดว่านี่เราคิดเงินน้อยเกินไปหรือเปล่า? ถ้าใช่นั่นหมายความว่าคุณกำลังติดอยู่ในข้อนี้ ผู้คนมักคิดเสมอว่า Freelance นั้นต้องราคาถูก ซึ่งความจริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องเชื่อตามนั้นเลย คุณอย่าลืมสิว่าคุณมีต้นทุนต้องแบกรับอยู่ไม่ใช่น้อย ค่าวิชาชีพ ค่าอุปกรณ์ค่า Software ค่าบริหารจัดการที่คุณต้องจ้างตัวเองในการประสานงานกับลูกค้าค่ะ เวลางานคุณอีกเล่า เหล่านี้ล้วนเป็นต้นทุนทั้งนั้น เพราะฉะนั้นนั่นคือเหตุผลที่คุณไม่ควรคิดราคาลูกค้าถูกเกินไป
ทางออก
ก็ง่ายเพียงนิดเดียว คุณเพียงแค่คิดราคาที่คิดว่าสมเหตุสมผลกับคุณภาพที่คุณทำ อย่าลดราคาและคุณภาพ เพราะสุดท้ายถ้าคุณฝืนทำงานที่ไม่คุ้มค่าแลกมากับ portfolio ที่ใช้การไม่ได้ในอนาคต ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับวิชาชีพของคุณ ราคามาตราฐานของชิ้นงานต่างๆมันมีอยู่คุณจะอ้างอิงจากตลาดโดยรวมหรือปรึกษาเพื่อน รุ่นพี่ หรือคิดราคาเท่าที่คุณต้องการก็ได้ โดยคำนวณต้นทุนที่มองไม่เห็นเข้าไปด้วย แต่อย่าให้ถูกเกินไปเพราะนั่นจะทำให้ลูกค้าพูดถึงเราว่า “จ้างนายคนนั้นสิราคาถูกกว่าใครเพื่อนเลย”
2. ทำสัญญากันเถอะ

การไม่มีสัญญาจ้างไม่ต่างจากการกระโดดลงจากหน้าผาโดยไร้ร่มชูชีพ สิ่งเดียวที่ช่วยให้คุณรอดคือลมดีๆซัก2-3วูบ ที่พัดคุณไปตกลงบนทุ่งสำลีหนานุ่มอย่างปลอดภัย แล้วมันใช่เรื่องที่คุณต้องแบกรับความเสี่ยงมั้ยล่ะ? คุณจำเป็นต้องมีสัญญาที่ทำร่วมกันกับลูกค้าโดยไม่มีใครเอาเปรียบใครระบุจำนวนชิ้นงานที่ต้องส่งมอบ จำนวนครั้งที่ต้องแก้ไขและระยะเวลาทำงานทุกอย่าง จะเป็นขอบเขตที่ชัดเจนที่คุณและลูกค้าทำความเข้าใจร่วมกัน แน่นอนมันคือการปกป้องผลงานคุณอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย เราหลายคนไว้ใจลูกค้ามากเกินไป ลูกค้าหลายคนเองก็ไว้ใจ Freelance มากเกินไปเช่นกัน ต้องหาจุดที่อุ่นใจกันทั้งสองฝ่าย และคุณต้องแน่ใจว่าคุณกำลังทำธุรกิจ ไม่ใช่การกุศล!
ทางออก
ไม่ต้องถึงกับไปจ้างทนายหรือไปลงเรียนกฏหมายเพื่อปกป้องสิทธฺขนาดนั้นก็ได้ คุณเพียงร่างสัญญาแบบง่ายๆ โดยผ่านการตกลงร่วมกันและทำความเข้าใจกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา ชัดเจน ก่อนเริ่มงานเท่านั้นก็เพียงพอแล้วครับ
3. รู้จักการปฏิเสธ

ในหลายๆครั้งหลังจากเราอยู่ในกระบวนการทำงาน เรามักจะพบ “งานงอก” อยู่บ่อยๆ สิ่งนั่นคืออะไรก็ตามที่อยู่นอกเหนือจากข้อตกลง เช่น ของแถมเล็กๆน้อยที่มาพร้อมคำพูดสุดฮิตที่เรามักได้ยินคือ “แถมๆให้หน่อย เดี๋ยวงานหน้าพี่ก็จ้างเราอีก” “เนี่ย! ทำเพิ่มอีกนิดหน่อยเอง” หรือบางที่ก็มาในรูปแบบที่เสนอเงินเพิ่มให้เล็กน้อย แต่งานที่เพิ่มขึ้นอาจจะทำให้คุณรับผิดชอบงานเดิมของคุณไม่เสร็จ ถ้าคุณไม่รู้จักปฏิเสธเรื่องหยุมหยิมพวกนี้เสียบ้างมันก็จะก่อกวนการทำงานของคุณไม่สิ้นสุด และสุดท้ายจะได้ไม่คุ้มเสียเอา
ทางออก
แค่พูดว่า “ไม่” แต่ต้องอยู่บนความสุภาพและจริงใจนะครับ บอกลูกค้าไปตรงๆว่าคุณไม่สะดวกหรือมันจะส่งผลกระทบต่องานของลูกค้าเองพูดอย่างตรงไปตรงมา ถ้าไม่เอาแต่ใจเกินไปก็คงเข้าใจกันได้ครับ
4. ไม่ต้องเป็นเทพก็ได้

หลายครั้ง Freelance มักจะเสียดายโอกาสดีๆที่ได้ทำงานหลายๆอย่าง ก็เลยรับงานมันเสียทุกอย่างและบางอย่างมันไม่ใช่แนวทางที่คุณถนัดหรือมีความเชี่ยวชาญจริงๆ ด้วยความเชื่อว่ายิ่งทำงานได้เยอะๆยิ่งดูเก่งเป็นเทพ แล้วงานจะเยอะขึ้น!! จริงอยู่การรักที่จะเรียนรู้หลายๆอย่างเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่กับการหารายได้เลี้ยงชีวิตมันเป็นอีกเรื่องนึงแล้ว คุณควรจะโฟกัสในสิ่งที่เป็นจุดแข็งจริงๆของคุณ เป็นคนที่ทำสิ่งนั้นได้ดีในระดับหัวแถวของวงการเพียงไม่กี่คน การเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างใดอย่างหนึ่งจะดีต่อธุรกิจของคุณมากกว่า
ทางออก
ค้นหาให้เจอว่าคุณมีจุดแข็งอะไร ใช้มันในการเข้าหาลูกค้า และเน้นสร้างงานที่มีคุณภาพนั้นอย่างสม่ำเสมอ
5. อย่าเสียเวลากับการหาลูกค้า

เรารู้ดีว่าการเป็น Freelance ที่ไม่มีลูกค้ามันน่ากลัว แต่ไม่ดีแน่ถ้าคุณต้องเอาแต่หางานๆๆๆๆ ติดต่อคนนั้นคนนี้เพื่อขายงาน จนมันเบียดเบียนเวลาทำงานของลูกค้าปัจจุบันของคุณ
ทางออก
ให้เวลากับการทำงานตรงหน้าอย่างมีคุณภาพสูงสุดเพื่อลูกค้าปัจจุบันจะประทับใจจนเขาเป็นตัวแทนแนะนำคุณกับลูกค้าใหม่เอง ในส่วนการหาลูกค้าใหม่ๆด้วยตัวเองคุณก็เพียงรวบรวบรายชื่ออีเมล์หรือช่องทางติดต่อใดๆ และคอยอัพเดทผลงานใหม่ๆที่น่าภูมิใจให้โลกรู้อยู่เสมอ หรือหาคนมาช่วยหางานให้แล้วตอบแทนเป็นคอมมิชชั่นก็ยังได้
6. บริหารเวลาให้ได้

รู้จักประเมินสถานการณ์ และ รักษาเวลาใว้ให้ดี การรักษาเวลาและคำพูดเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับ Freelance เพราะหากคุณรับปากลูกค้าแล้วไม่สามารถทำได้ทันเวลา แม้สุดท้ายจะเข็นจนจบได้ แต่ส่วนใหญ่งานนั้นจะเป็นงานสุดท้ายของคุณ ไม่ดีต่อชื่อเสียงที่เสียไปเลย
ทางออก
แค่ “บริหารเวลาอย่างถูกต้อง” อย่าปล่อยให้ไฟลนก้นทำงานอย่างมีวินัยตามแผนที่วางใว้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว
7.ประชาสัมพันธ์ตัวเองบ้าง

จากประสบการณ์ส่วนตัวผมเคยสั่งพิมพ์นามบัตรมาจำนวนนึง หวังว่าจะนำมันไปแจกยังอีเวนต์ต่างๆที่ว่าที่ลูกค้าของผมจะไป แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่ได้ไปไหน นามบัตรล็อตนั้นยังกองกันนิ่งอยู่ที่บ้าน รอลูกค้างงๆซักคนเดินมากดกริ่งหน้าบ้านแล้วขอเข้ามาหยิบไปซัก 1 ใบ ซึ่งนามบัตรซึ่งเป็นแนวคิดที่ผิดมาก ถ้าเรายังยึดติดกับวลีเด็ดๆว่า “ถ้างานเราดีจริงเดี๋ยวก็มีคนเห็นค่าเอง” แต่นั่นคือเรื่องสมัยก่อนที่ข้อมูลข่าวสารยังไม่ล้นเท่าทุกวันนี้ คุณจำเป็นต้องโปรโมทตัวเองผ่านช่องทางต่างๆโดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตที่คุณกำลังใช้อ่านบล็อกนี้อยู่นี่แหละครับ ช่องทางนำพาผลงานที่ดีจริงออกไปให้คนเห็นได้จริงอย่างดีสุดๆเลยครับ
Blog – เขียนบล็อคเผยแพร่ความคิด แชร์เทคนิค โชว์ผลงานคุณภาพเป็นประจำ
Networking – สื่อสังคมออนไลน์ต่างๆหรืออีเวนต์มากมายที่คนในแวดวงเดียวกัน หรือว่าที่ลูกค้าจะไปอยู่รวมกัน ก็เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์บ้าง
แต่ข้อควรระวังคือ ในการประชาสัมพันธ์ตัวเองกับการสร้างความรำคาญก็ต่างกันแค่เส้นบางๆ เลือกอยู่ให้ถูกฝั่งแล้วกันครับ
8. อย่าหักโหมทำงานมากเกินไป

การเป็น Freelance คอยเตือนคุณเสมอว่า คุณไม่มีเงินเดือน คุณไม่มีรายได้แน่นอน คุณไม่มีอารมณ์ร่วมในการรอวันเงินเดือนออก เพราะตอนเงินไม่ออกของคุณอาจจะกินเวลายาวนานกว่าพนักงานประจำมาก จริงอยู่ที่รายได้ก้อนโตจะเข้ามาหากงานคุณเสร็จ แต่กับลูกค้าบางรายก็มีเงื่อนใขของระเบียบการจ่ายเงินที่ล่าช้า หรือแม้แต่การถูกโกงในบางที เหล่านี้เองบีบให้คุณต้องทำงานหนักมาก ทำทุกวัน ทำทุกเวลา จนแน่ใจว่ารายรับคุณจะไม่ขาดช่วงไปนานเกินไป เพราะไม่มีใครมารับประกันแทนคุณได้ว่าทำเท่าไหนถึงจะอยู่รอดไปตลอดครึ่งปีหลังได้ คุณต้องประเมินตัวเอง และมันจำเป็นมากๆที่คุณต้องมีเวลาพักผ่อนที่เหมาะสม มีเวลาใช้เงินที่ตัวเองหามาอย่างหนัก ผ่อนคลายกับชีวิตหลังเลิกงานบ้าง
ทางออก
เพื่อกระจายความเสี่ยง เงินรายได้ที่เข้ามาควรจะแบ่งบางส่วนเป็นเงินออม บางส่วนก็นำไปลงทุนทางธุรกิจอื่นๆที่สร้างรายได้อีกทางบ้าง ในยามที่คุณอยากพักคุณควรได้พัก และการบริหารจัดการเวลาทำงานที่ไม่มากเกินไป ควรวางแผนการทำงานอย่างดีเสียก่อน สุดท้ายอย่ารับงานที่ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะส่วนใหญ่เมื่อเราทำไม่ได้เราต้องใช้เวลากับมันมากกว่าปกติ…จนกลายเป็นมากเกินไป
และสุดท้ายนี้ผมเชื่อว่าคนเป็น Freelance ไม่ได้มีชีวิตสวยหรูกันทุกคนแต่ก็ไม่ได้ลำเค็ญแสนเข็ญกันซะทั้งหมด มันก็ปะปนกันไปไม่สามารถแยกจากกันได้แต่สิ่งที่แยกภาวะสุดโต่งของความดีกับความแย่ได้ก็คือ วินัย การวางแผนที่ดีพอ จะพาคุณไปสู่ชีวิต Freelance เท่ๆ คูลๆ แบบในอุดมคติได้มากกว่าการก้มหน้าทำงานแบบหนูติดจั่นอย่างไร้ความหวัง
// หากคุณทำตัวเป็น Freelance เท่ๆได้ ในตอนที่ไม่เท่คุณก็ต้องเป็นให้ได้ด้วยเช่นกัน //
ใครมีข้อแนะนำเพื่อนๆ Freelance ด้วยกัน Comment มาได้เลยครับ
( Source : Creative Market )


ส่งความเห็นที่ Thada ยกเลิกการตอบ